blogger นี้ทำเพื่อการนำเสนองานวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม



by www.zalim-code.com

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

8 วิธี ทําให้อายุยืน สุขภาพดี


คนแก่คู่รัก

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าใคร ๆ ก็อยากที่จะมีอายุที่ยืนยาวนานด้วยกันทั้งนั้น แล้วจะทำให้อายุยืนได้ อย่างไรล่ะ วันนี้เรามีคำตอบมาฝากคุณแล้วครับด้วย 8 วิธี ทําให้อายุยืน ของเราจะช่วยให้คุณมีอายุที่ยืนยาวนานเพิ่มขึ้นไปอีก 8 ปีเชียวครับ นอกจากคุณจะสามารถ ทําให้อายุยืน ได้แล้วคุณยังจะมีสุขภาพที่ดีไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย ว่าแล้วอย่ารอช้าเรามาเริ่มลงมือปฏิบัติกับ 8 วิธี ทําให้อายุยืน กันเลยดีกว่า

 8 วิธี ทําให้อายุยืน

1. ทำให้อายุยืนยาวขึ้น 1 ปี ด้วยการกินดาร์กช็อกโกแลต

การวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสหรัฐอเมริกาบอกว่า ถ้าเรากินดาร์กช็อกโกแลตบ่อย ๆ หรืออย่างน้อยเดือนละ 3 ครั้ง อาจจะช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้อีก 1 ปีเลย เพราะว่าในดาร์กช็อกโกแลตมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยทำให้เลือดไม่ข้นหนืดจนเกิน ไป เลือดเลยไหลได้สะดวกไม่ไปติดหรือกระแทกหลอดเลือดมากจึงไม่เกิดโรคเกี่ยวกับ หลอดเลือด เส้นเลือดก็ไม่อุดตัน


2. ทำให้อายุยืนยาวขึ้น 2 ปี ด้วยเพศสัมพันธ์ที่ดี

มีเพศสัมพันธ์บ่อย ๆ แล้วดีครับ ช่วยเพิ่มอายุได้ถึง 2 ปีเลยทีเดียว มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียบอกว่า เป็นเพราะมันจะมีสารที่หลั่งออกมาหลังจากที่เราถึงจุดสุดยอดที่ทำให้คลาย เครียดได้ดีมากและจะทำให้เรารู้สึกสบายตัวร่างกายและหัวใจเราก็ดีขึ้น ฮอร์โมนคอร์ติโซนก็จะหลั่งออกมาน้อยผมเคยอ่านงานวิจัยอีกอันที่เขาศึกษากับ คนออสเตรเลีย 2,338 คน บอกว่า การที่ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์หรือช่วยตัวเองสัปดาห์ละ 10 ครั้ง สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 33 เปอร์เซ็นต์


3. ทำให้อายุยืนยาวขึ้น 3 ปี ด้วยการกินถั่ว


อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน มหาวิทยาลัยโลม่าลินดาที่แคลิฟอร์เนียวิจัยพบว่า ในถั่วจะมีไขมันโอเมก้า 3 สารต้านอนุมูลอิสระ ใยอาหารเยอะไขมันอิ่มตัวน้อยแคลอรีน้อยทำให้ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะกับหัวใจแต่ต้องเลือกแบบไม่มีเกลือ


4. ทำให้อายุยืนยาวขึ้น 4 ปี ด้วยการดื่มไวน์

นักวิทยาศาสตร์ชาวดัชช์ให้ดื่มไวน์วันละครึ่งแก้วจะทำให้ชีวิตเรายืนยาวได้ ถึง 4 ปี เพราะในไวน์จะมีสารโพลิฟิโนลิคคอมพาวน์ส (polyphenolic compounds) ซึ่งสารนี้จะทำให้เลือดเราไม่มีการเติบโตของไขมันพอเยื่อไขมันไม่สามารถเติบ โตได้เส้นเลือดเราจะสะอาดใสอยู่ตลอดเวลาไม่มีตะกอนตกค้างหรือมีไขมันมาเกาะ ผนังหลอดเลือด

ทําให้อายุยืน


5. ทำให้อายุยืนยาวขึ้น 5 ปี ด้วยการเล่นกอล์ฟ

อาจจะมีหลายคนที่เล่นกอล์ฟกันอยู่แล้วแต่ยังไม่รู้ว่าทำไมเล่นกอล์ฟแล้วทำ ให้อายุเรายืนยาวขึ้นได้ นั่นเพราะการเล่นกอล์ฟทำให้เราเดินครับ เล่นกอล์ฟ 18 หลุม จะทำให้เราต้องเดินถึง 6-10 กม. เลยครับ แล้วการเดินทำให้ร่างกายเราเผาผลาญแคลอรีได้ดีเป็นการออกกำลังกายแบบ Low intensity คือการออกกำลังกายแบบไม่หนักแต่หัวใจเต้นเร็วและใช้ออกซิเจนเยอะมาก ซึ่งจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรงแล้วการตีกอล์ฟทำให้เราไม่เบื่อที่จะออกกำลังกายด้วย


6. อายุยืนยาวขึ้น 6 ปี ด้วยการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

กินทุก ๆ มื้อเลยนะครับ ให้เรื่องการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นชีวิตประจำวัน ไม่ใช่วันนี้พิเศษฉันจะไปกินอาหารเพื่อสุขภาพ นาน ๆ กินทีแบบนั้นไม่ดีแน่ ๆ แล้วมีการวิจัยจากฮอลแลนด์บอกว่า กินปลา เนื้อไม่ติดมัน น้ำมันมะกอก กระเทียม คาร์โบไฮเดรตที่ดีอย่างข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต เป็นประจำจะทำให้ไขมันในเลือดน้อยลงสุขภาพร่างกายดีขึ้น โรคมะเร็งกับเบาหวานก็จะเกิดได้ยากขึ้น


7. ทำให้อายุยืนยาวขึ้น 7 ปี ด้วยการควบคุมน้ำหนัก

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดศึกษาพบว่า ถ้าคุณสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ตามเกณฑ์มาตรฐานได้โดยตลอด คุณอาจจะเพิ่มชีวิตได้ถึง 7 ปีเลย หรือหากตอนนี้ใครกำลังน้ำหนักตัวเกินอยู่ก็รีบลดเลยครับเพราะปล่อยให้ น้ำหนักมาก ๆ ไม่ดี กระดูกและไขข้อต้องรับน้ำหนักเยอะมากก็จะมีปัญหาได้แล้วก็เสี่ยงกับการเกิด โรคหลายโรคด้วย แต่ที่ต้องระวังด้วยคืออย่าดูแค่ตัวเลขของน้ำหนักเท่านั้นให้ดูไขมันด้วย เพราะคนผอมหลายคนเหมือนกันที่น้ำหนักน้อยแต่ไขมันเยอะนั่นก็สุขภาพไม่ดีได้ ง่ายเหมือนกัน


8. ทำให้อายุยืนยาวขึ้น 8 ปี ด้วยการหัวเราะบ่อย ๆ

การที่เราหัวเราะฮอร์โมนคอร์ติโซนซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพจะหลั่งน้อยลง ทำให้เรามีความสุข ผ่อนคลายไม่เครียด เพราะสารเคมีที่ไม่ดีในร่างกายจะไม่หลั่งออกมาเลย แล้วจะมีสารเคมีดี เช่น เอ็นโดรฟิน อะดรีนาลีน หลั่งออกมาแทน ก็พยายามดูหนังตลก อยู่กับเพื่อนให้เยอะ ๆ จะได้หัวเราะ แค่คุณหัวเราะวันละ 15 นาที อาจจะทำให้คุณมีอายุยืนยาวขึ้นอีก 8 ปีเลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สุขภาพดี ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

8 อาหารห้ามกินตอนท้องว่าง



ผลไม้ "อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม!"

อาหารซึ่งท้องว่างห้ามกินคุณรู้ไหมว่าคืออะไรบ้างและจะเป็นอันตรายอย่างใด วันนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับ 8 อาหารห้ามกินตอนท้องว่างมา ฝากให้ได้เป็นความรู้รอบตัวที่คุณไม่ควรมองข้ามและเวลาที่ท้องว่างห้ามกิน เด็ดขาดเพราะ 8 อาหารห้ามกินตอนท้องว่าง ที่เรานำมาแนะนำนั้นอาจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของคุณในระยะยาวได้สิ่งเหล่า นี้ล้วนเป็นอันตรายที่ไม่ควรมองข้ามกันเลยจริงๆ ค่ะ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกห้ามเรามาทำความรู้จักกับ 8 อาหารห้ามกินตอนท้องว่างกันเลยดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้างนะที่เราไม่สามารถกิน ได้ขณะที่ท้องเรานั้นไม่มีอะไรเลย เมื่อได้รู้แล้วก็อย่าลืมนำไปปรับใช้นะค่ะจะได้สุขภาพดีและไม่ส่งผลเสียต่อ ร่างกายค่ะ

1. กล้วย

เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียมการรับประทานกล้วยขณะท้องว่างจะทำให้ ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้งการทำงานของ หลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

2. กระเทียม

เพราะการรับประทานกระเทียมขณะท้องว่างจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้นเกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

3. ผัก

การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่างจะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

4. นมและนมถั่วเหลือง

แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ ด้วย ดังนั้นในขณะที่ท้องว่างจึงไม่ควรรับประทาน

อาหารห้ามกินตอนท้องว่าง


5. เหล้า

หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่างจะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหารทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

6. น้ำตาลหรืออาหารหวาน

ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูด ซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

7. ชา

ชาที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางส่งผลให้การทำงานของระบบย่อย อาหารลดลงและเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

8. ลูกพลับ

ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยางและสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายในขณะที่ท้องว่างจะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

"โรคไมเกรน" รักษาแบบไม่ต้องพึ่งยา!

โรคไมเกรนคงจะเป็นอีกหนึ่งอาการที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเป็น อย่างที่เรารู้กันดีว่าชีวิตประจำวันที่แสนจะวุ่นวายของใครหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่เร่งรีบ การนั่งอยู่หน้าคอมนานเกิน 3-4 ชั่วโมง การรับประทานอาหารไม่ครบหมู่ การผักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการที่ร่างการมีความเครียดสะสมอยู่มากๆ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุุทั้งหมดของการเกิดโรคต่างๆ รวมถึง โรคไมเกรน ที่จะเป็นกับบุคคลที่ต้องใช้สายตาเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งติดต่อกันหลายๆ ครั้งเป็นเวลานานๆ มักจะมีอาการปวดศีระษะ ปวดคอ ปวดบ่า ปวดหลัง ปวดสะบัก มึนศีรษะทั้งหมดนี้คืออาการของ โรคไมเกรน ที่มักจะรบกวนชิวีตประจำวันของเราอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าจะให้กินยาบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่วันนี้เราก็เลยนำเอาความรู้เกี่ยวกับ โรคไมเกรน ที่รักษาแบบไม่ต้องพึ่งยามาฝากกันค่ะ แต่ถึงยังไงร่างกายคนเราก็ไม่ใช่เครื่องจักรต่อให้มีวิธีแนะนำดีๆ แค่ไหนถ้าร่างกายของคุณไม่ได้พักก็จะแย่ได้เหมือนนะค่ะ ยังไงก็หาเวลาให้ร่างกายได้พักบ้างนะค่ะ


"โรคไมเกรน" รักษาแบบไม่ต้องพึ่งยา!

แพทย์อายุรเวท วิภาพร สายศรี แพทย์ประจำคลินิกรักษาไมเกรนและโรคปวด ดอกเตอร์แคร์คลินิกได้ให้คำแนะนำไว้ว่า อาการปวดศีรษะเป็นโรคยอดนิยมของคนทั่วไปในยุคนี้ เมื่อใครปวดศีรษะขึ้นมาก็จะคิดถึงยาสามัญประจำบ้านอย่างยาแก้ปวดเป็นอันดับ แรก แต่ถ้ากินยาแล้วยังไม่หายตรวจร่างกายแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติอย่างนี้ถือว่า เข้าข่ายเป็นโรค ‘ไมเกรน' ค่ะ

โรคไมเกรนเป็นโรคที่สร้างความทรมานให้ กับผู้ป่วยพบได้มากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั่วโลก และยังไม่มีวิธีการรักษาใดๆ ช่วยให้หายขาดได้เป็นแต่เพียงแค่การรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะให้ทุเลา ลงเท่านั้น อาการของไมเกรนก็คือ ปวดศีรษะข้างเดียว ซึ่งเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณบ่า คอ ท้ายทอย และเกิดก้อนเนื้ออักเสบที่เรียกว่า Trigger Point บริเวณดังกล่าว มีผลทำให้เลือดและออกซิเจนไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณศีรษะได้ไม่สะดวก เมื่อได้รับปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวมากขึ้น เช่น ความเครียด แสง สี เสียง กลิ่น หรือการ พักผ่อนไม่เพียงพอ จึงเกิดอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือไม่ก็ปวดสลับข้าง

แต่ปัจจุบันนี้ มีวิธีการรักษาโรคไมเกรนแบบใหม่ซึ่งใช้วิธีการของแพทย์สมัยใหม่ร่วมกับการกด จุด เรียกว่า ‘การรักษาแบบ DMT' (DoctorCare Manipulation Technique) วิธีการนี้ผู้ป่วยไม่ต้องรับประทานยาหรือผ่าตัดเป็นการรักษาไมเกรนที่เห็นผล ชัดเจน โดยสามารถรักษาได้ทั้งอาการไมเกรนเฉียบพลันและป้องกันการกลับมาของอาการไม เกรนได้ดี DMT จะช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับระบบต่างๆ ของร่างกายที่ทำงานผิดปกติ เช่น ระบบกล้ามเนื้อ ประสาท การไหลเวียนเลือด โดยจะช่วยพลิกฟื้นระบบต่างๆ ของร่างกายให้เข้าสู่สภาวะสมดุลอีกครั้ง ทั้งยังช่วยให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ รวมถึงสภาวะทางจิตใจกลับมาทำงานสอดคล้องประสานกันทั้งระบบ ซึ่งกระบวนการนี้ เป็นกระบวนการรักษาสุขภาพที่ยั่งยืน

โรคไมเกรน


แนวทางการรักษาโรคไมเกรน

การรักษาแบบ DMT นั้น แพทย์อายุรเวทจะสอบถามถึงอาการปวด ตำแหน่งที่ปวด และปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวด โดยนำข้อมูลที่ได้จากผู้ป่วยไปเข้าโปรแกรมการสร้างความสมดุลของร่างกาย ร่วมกับเทคนิคการกดจุด เพื่อกระตุ้นการทำงานของทุกระบบในร่างกายร่วมกับการยืดกล้ามเนื้อและการ บริหารร่างกาย


ขั้นตอนการรักษาแบบ DMT

- ตรวจสภาพกล้ามเนื้อและตรวจหาตำแหน่ง Trigger Point ที่มีการกดทับ
- กดคลายกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งเหนือจุด Trigger Point
- กดสลาย Trigger Point เพื่อให้ Trigger Point คลายตัวออกเป็นกล้ามเนื้อปกติและกระตุ้นให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงศีรษะได้ดีขึ้น
- ยืดกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น คลายตัว และเคลื่อนไหวได้ดี

กระบวน การดังกล่าวจะช่วยฟื้นฟูระบบต่างๆ ของร่างกายให้เข้าสู่สภาวะปกติได้ใหม่อีกครั้ง การรักษาใช้เวลาเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยประมาณ 4-6 ครั้ง ผู้ที่เข้ารับการรักษากว่า 80% จะไม่มีอาการปวดรบกวนอีก อย่างไรก็ตามหลังจากครบโปรแกรมการรักษาแล้วก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงการใช้กล้าม เนื้อต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานด้วย

อย่างไรก็ตามการป้องกันตัวเองไม่ ให้เจ็บป่วยจากโรคเป็นสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งโรคไมเกรนนี้สามารถป้องกันได้ไม่ ยากขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัว เช่น อย่าใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเกินกว่า 2 ชั่วโมง ยุติกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอทันทีที่รู้สึกเกร็ง บริหารกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ ด้วยการยืดกล้ามเนื้อหลังการใช้คอมพิวเตอร์ทุกครั้ง หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เมื่อมีอาการปวดศีรษะ พักผ่อนและทำสมาธิเมื่อมีความเครียดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ประคบน้ำอุ่นบริเวณบ่าและต้นคอเพื่อทำให้กล้ามเนื้อคลายจากการเกร็งตัว หลีกเลี่ยงแสงจ้า หรือสวมแว่นตากันแดด เป็นต้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารเปรี้ยว ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

อาหารบำรุงเลือด บำรุงธาตุเหล็ก

การดูแลสุขภาพ

วันนี้เรามีอีกหนึ่งเรื่องน่ารู้ดีๆ เพื่อสุขภาพมาฝากกันกับอาหารบำรุงเลือด บำรุงธาตุเหล็ก นอกจากร่างกายของคนเรานั้นที่ต้องได้รับการบำรุงแล้วนั้น เลือดก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของร่างกายที่จำเป็นจะต้องได้รับการบำรุงและดูแล เช่นกัน ยิ่งโดยเฉพาะสาวๆ ทั้งหลายที่ต้องเป็นประจำเดือนทุกๆ เดือนด้วยแล้วนั้นยิ่งจำเป็นที่จะต้องให้ความใส่ใจกันเรื่องนี้เป็นพิเศษ วันนี้เราก็เลยนำเอาอาหารบำรุงเลือด บำรุงธาตุเหล็ก มาแนะนำให้ได้รู้กันค่ะ สำหรับ อาหารบำรุงเลือด บำรุงธาตุเหล็ก นี้ เป็นอาหารที่มีอยู่ในแต่ละมื้อที่คุณรับประทานเข้าไปอย่างแน่นอนค่ะ แต่ที่เราจะนำมาแนะนำนั้น อาหารบำรุงเลือด บำรุงธาตุเหล็ก ในร่างกายของคุณให้ได้รู้กันค่ะ วันนี้เพียงแค่อยากจะให้คุณเลือกเน้นรับประทานอาหารเหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้น ถ้ายังไงแล้ววันนี้เราก็เข้าไปรู้จักกับ อาหารบำรุงเลือด บำรุงธาตุเหล็ก กันเลยดีกว่านะค่ะ ยังไงก็ควรจะลองใส่ใจสักนิด คิดซะว่าเพื่อสุขภาพของคุณเองก็ได้นะค่ะ

อาหารบำรุงเลือด

เมื่อร่างกายขาดธาตุเหล็กก็จะมีอาการอ่อนเพลีย ง่วง ขาดสมาธิ ซีดเซียว และเส้นผมหลุดร่วงโดยที่เราไม่รู้ตัวและกว่าโรคจะปรากฏให้เห็น การขาดธาตุเหล็กก็ส่งผลกระทบแล้วคุณจึงควรตรวจเช็กสักครั้งเมื่อมีอาการดัง กล่าวโดยไม่รู้สาเหตุเพราะเกือบหนึ่งในสองของผู้หญิงมักมีธาตุเหล็กต่ำเกิน ไปทั้งนี้คนแทบไม่เชื่อว่าการขาดธาตุเหล็กคือภาวะที่เกิดขึ้นมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะผู้หญิงในประเทศอุตสาหกรรมซึ่งผู้หญิงมักสูญเสียแร่ธาตุไปกับเลือด ประจำเดือน เพราะผู้หญิงบางคนมีเลือดประจำเดือนครั้งละครึ่งลิตร ซึ่งตามปกติของการเสียเลือดประจำเดือน 50 มิลลิลิตร ก็เท่ากับสูญเสียธาตุเหล็กประมาณ 15-30 มิลลิกรัม หรือบางคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์อาจสูญเสียมากกว่านี้ จึงทำให้การเก็บกักธาตุเหล็กไม่สมบูรณ์


อาหารที่เป็นศัตรูของธาตุเหล็ก

ชาและกาแฟขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก วิธีที่จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีคือ หลังมื้ออาหารให้กินผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น ส้มหนึ่งผล

อาหารบำรุงเลือด บำรุงธาตุเหล็ก


อาหารที่มีธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็กจากพืชผักและผลไม้มักละลายยากส่วนใหญ่มักติดอยู่กับคาร์โบไฮเดรต และมีเพียวเศษเสี้ยวเท่านั้นที่เข้าไปในกระแสเลือด นอกจากนี้อาหารบางชนิดที่เรารับประทานอยู่ทุกวันยังไปขัดขวางการดูดซึมธาตุ เหล็ก เช่น แคลเซียมจากผลิตภัณฑ์นม โพลีฟีนอยด์ (ถั่วเปลือกแข็ง) ไฟเตท (ธัญพืชและถั่ว) ฟอสเฟต (น้ำดำ ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ชาและกาแฟ) วิธีที่จะช่วยทำให้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีก็คือ ดื่มน้ำส้มหนึ่งแก้วในระหว่างทานอาหาร อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงอย่างเช่น เนื้อแดง ปลา เป็ด และไก่ วิธีป้องกันการขาดธาตุเหล็กก็คือ ควรกินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละ 3 ครั้ง


บุคคลที่ต้องใส่ใจ อาหารบำรุงเลือด

นักมังสวิรัติ สตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร สตรีมีรอบเดือนต้องกินอาหารที่มีธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นซึ่งบางครั้งก็ค่อนข้าง ยาก หากจำเป็นก็ต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายธาตุเหล็กสำเร็จรูป ปกติผู้หญิงในวัย 15-50 ปี ควรได้รับธาตุเหล็กประมาณ 15 มิลลิกรัม ส่วนผู้หญิงวัยมากกว่า 50 ปี ควรได้รับวันละ 10 มิลลิกรัม ส่วนผู้ที่ไม่ขาดธาตุเหล็กก็ไม่ควรเติมธาตุเหล็กสำเร็จรูปให้ร่างกายอีก เพราะร่างกายขจัดออกไม่ได้และเมื่อมีมากเกินไปก็จะเป็นอันตรายต่อตับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก lisa ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

สรรพคุณของใบย่านาง รักษาโรคได้

 
ย่านางเป็น พืชสมุนไพรที่ใช้เป็นอาหารและเป็นยามาตั้งแต่โบราณหมอยาโบราณภาคอีสาน เรียกชื่อยาของย่านางว่า “หมื่นปีไม่แก่” พบความมหัศจรรย์ของย่านางครั้งแรก เมื่อคุณแม่ของเขาคนหนึ่งตกเลือดจากมดลูกอย่างรุนแรง หลังจากที่เขาตัดสินใจใช้ย่านาง เป็นสมุนไพรหลักในการบำบัดอาการของคุณแม่ก็ทุเลาอย่างรวดเร็วภายใน 3 วัน เลือดหยุดไหล เมื่อใช้ย่านางอีกบำบัดต่อเนื่องอีก 3 เดือนต่อมา มดลูกที่โต 16 เซนติเมตรก็ยุบลงเหลือเท่าขนาดปกติ คือเท่าผลชมพู่ ผิวมดลูกที่ขรุขระเหมือนหนังคางคกก็หายไป อาการตกขาวก็หายไปด้วย
ต่อมาเขาทดลองใช้ย่านางกับผู้ป่วยมะเร็งตับ ผู้ป่วยก็อาการดีขึ้น เมื่อครบ 3 เดือนไปตรวจอัลตราซาวด์ พบว่ามะเร็งฝ่อลง จากนั้นก็ทดลองกับผู้ป่วยโรคเกาต์ให้ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง 3 เดือน อาการปวดข้อก็หายไป ไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบโรคเกาต์ ซึ่งทางการแพทย์แผนปัจจุบัน บอกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ได้ทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง หลังจากดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง พบว่าสามารถลดน้ำตาลในเลือดและลดความดันโลหิตได้ หลังจากนั้นเขาได้ข้อมูลจากคนแก่อายุ 77 ปีคนหนึ่งที่ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่องกัน 1 เดือน พบว่าผมที่เคยขาวกลับเปลี่ยนเป็นสีเทา และมีสีดำแซม ลูกสาวของคนแก่ดังกล่าวเป็นเชื้อราทำลายเล็บ รักษาด้วยการทาและกินยาแผนปัจจุบันไม่หาย พอดื่มน้ำย่านางได้ 10 วัน ก็ทุเลาอย่างรวดเร็ว
เขาได้ทดลองให้น้ำย่านางกับผู้ป่วยอีกหลายโรคหลายอาการไม่ว่าเป็นอาการ ไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตุ่มผื่นคัน และอาการอื่นๆ ก็พบว่าอาการทุเลาอย่างรวดเร็ว เขาได้ข้อมูลจากผู้ป่วยหลายคนที่นำย่านางไปใช้บำบัดรักษาโรคพบว่า ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายที่รักษายาก หรือโรคที่รักษาง่ายหลายโรคหลายอาการย่านางสามารถบำบัดรักษาให้ทุเลาเบาบาง หรือหายได้ ดังนั้น เขาจึงได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับย่านาง เผื่อว่าย่านางอาจจะเป็นส่วนที่ช่วยบำบัด บรรเทาทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บของญาติพี่น้องของเพื่อนร่วมโลกได้บ้าง
ประสบการณ์การใช้ตามแนวธรรมชาติ
จากประสบการณ์คนที่ได้ใช้ใบย่านางกับผู้ป่วยพบว่า ใบย่านางมีฤทธิ์เย็น จึงใช้ใบย่านางปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการอันเกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน พบว่าใบย่านางเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้ในการป้องกันคุ้มครองรักษา และฟื้นฟูเซลล์ร่างกายของคนในยุคนี้ เพราะคนส่วนใหญ่จะมีภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกินไป อันเนื่องมาจากผู้คนส่วนใหญ่มีความเครียดสูง มักถูกบีบคั้น กดดันจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ให้ต้องแก่งแย่งแข่งขัน เร่งรีบ เร่งร้อน สิ่งแวดล้อมถูกทำลายก็มีมลพิษมากขึ้น ต้นไม้ที่ให้ออกซิเจน ร่มเย็น ให้ความชุ่มชื้นก็ถูกทำลายจนเหลือน้อย โลกจึงร้อนขึ้น อาหารและเครื่องดื่มปนเปื้อนสารเคมีมากขึ้น ตั้งแต่กระบวนการเริ่มผลิตทางการเกษตร ที่ใช้สารเคมีกันอย่างมากมายจนถึงการปรุงอาหาร ผู้คนอยู่กับเครื่องไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยหลัก ที่ทำให้คนเจ็บป่วยด้วยภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกินไป
สถานการณ์ดังกล่าวตรงกันข้ามกับเมื่อ 30-50 ปีที่ผ่านมา ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความเครียด วิถีชีวิตเรียบง่าย สงบ เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลกัน ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขัน ไม่ต้องเร่งรีบเหมือนคนยุคนี้ สิ่งแวดล้อมมีมลพิษน้อย ป่าไม้ก็มีมาก แม่น้ำลำธารใสสะอาด อาหารการกินไม่มีสารเคมีเจือปน ตั้งแต่กระบวนการผลิตทางการเกษตร จนถึงกระบวนการปรุงอาหารก็ไร้สารพิษ ปรุงแต่งน้อย รสไม่จัดจ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่ค่อยมี ผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนั้น จึงมักมีภาวะไม่สมดุลแบบเย็นเกินไป
อาการหรือโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกินไป ซึ่งสามารถใช้ใบย่านางปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาได้ มีดังต่อไปนี้
1. ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว ขี้ตาข้น เหนียว หรือไม่ค่อยมีขี้ตา
2. มีสิว ฝ้า
3. มีตุ่ม แผล ออกร้อนในช่องปาก เหงือกอักเสบ
4. นอนกรน ปากคอแห้ง ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย
5. ผมหงอกก่อนวัย รูขุมขน ขยายโดยเฉพาะบริเวณหน้าอก คอ ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
6. ไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว
7. มีเส้นเลือดขอดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เส้นเลือดฝอยแตกใต้ผิวหนัง มีรอยจ้ำเขียว คล้ำ
8. ปวดบวมแดงร้อนตามร่างกายหรือตามข้อ
9. กล้ามเนื้อเกร็งค้าง กดเจ็บ เป็นตะคริวบ่อยๆ
10. ผิวหนังผิดปกติคล้ายรอยไหม้ เกิดฝีหนอง น้ำเหลืองเสียตามร่างกาย
11. ตกกระสีน้ำตาลหรือสีดำตามร่างกาย
12. ท้องผูก อุจจาระแข็งหรือเป็นก้อนเล็กๆ คล้ายขี้แพะ บางครั้ง มีท้องเสียแทรก
13. ปัสสาวะมีปริมาณน้อย สีเข้ม ปัสสาวะบ่อย แสบขัด ถ้าเป็นมากๆ จะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ หรือมีเลือดปนออกมาด้วย มักมีปัสสาวะช่วงเที่ยงคืนถึงตี 2 (คนที่ร่างกายปกติ สมดุล จะไม่ตื่นปัสสาวะกลางดึก)
14. ออกร้อนท้อง แสบท้อง บางครังมีอาการ ท้องอืดร่วมด้วย
15. มีผื่นที่ผิวหนัง ปื้นแดงคัน หรือมีตุ่มใสคัน
16. เป็นเริม งูสวัด
17. หายใจร้อน เสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น สีเหลืองหรือสีเขียว บางทีเสมหะพันคอ
18. โดยสารยานยนต์ มักอ่อนเพลียและหลับขณะเดินทาง
19. เลือดกำเดาออก
20. มักง่วงนอน หลังกินข้าวอิ่มใหม่ๆ
21. เป็นมากจะยกแขนขึ้นไม่สุด ไหล่ติด
22. เล็บมือ เล็บเท้า ขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย มีสีน้ำตาลหรือดำคล้ำ อักเสบ บวมแดงที่โคนเล็บ
23. หน้ามืด เป็นลม วิงเวียน บ้านหมุน คลื่นไส้ มักแสดงอาการเมื่ออยู่ในที่อับ หรืออากาศร้อนหรือเปลี่ยนอิริยาบถเร็วเกิน หรือทำงานเกินกำลัง
24. เจ็บเหมือนมีเข็มแทงหรือไฟช็อต หรือร้อนเหมือนไฟเผา
25. อ่อนล้า อ่อนเพลีย แม้นอนพักก็ไม่หาย
26. รู้สึกร้อนแต่เหงื่อไม่ออก
27. เจ็บปลายลิ้น แสดงว่าหัวใจร้อนมากถ้าเป็นมากจะเจ็บแปลบที่หน้าอก และอาจร้าวไปที่แขน
28. เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง
29. หิวมาก หิวบ่อย หูอื้อ ตาลาย ลมออกหู หูตึง
30. ส้นเท้าแตก เจ็บส้นเท้า ออกร้อน บางครั้งเหมือนไฟช็อต
31. เกร็ง ชัก
32. โรคที่เกิดจากสมดุลแบบร้อนเกินไป ได้แก่ โรคหัวใจ เป็นหวัดร้อน ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ ตับอักเสบ กระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วไต นิ่วกระเพาะปัสสาวะ นิ่วถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต โรคเกาต์ ความดันสูง เบาหวาน เนื้องอก มะเร็ง พิษของแมลงสัตว์กัดต่อย
วิธีใช้
ใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิล คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุล แบบร้อนเกินไป ดังนี้
     1. เด็กใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว (200-600 ซีซี.)
     2. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
     3. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
     4. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วนถึงตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว โดยใช้ใบย่านางสดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น (แต่การปั่นในเครื่องใช้ไฟฟ้าจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำงายความเย็นของใบย่านาง) แล้วกรองผ่านกระชอนเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ ½-1 แก้ว วันละ 2-3 เวลา ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง หรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำเปล่า ในอุณหภูมิห้องปกติ ควรดื่มภายใน 4 ชั่วโมง หลังจากทำน้ำใบย่านาง เพราะถ้าเกิน 4 ชั่วโมง มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม จะทำให้เกิด ภาวะร้อนเกินไป แต่ถ้าแช่ในน้ำแข็งหรือตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วัน โดยให้สังเกตที่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวเป็นหลัก
     5. การทำน้ำย่านางอาจผสมน้ำมะพร้าว หรือน้ำเล็กน้อย เพื่อผลทางยาหรือช่วยให้ดื่มง่ายขึ้น
     6. บางคนเป็นโรคหรือมีอาการหนักมาก บางครั้งย่านางเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ทุเลาได้ ให้ใช้พืชฤทธิ์เย็นที่นำมาช่วยเสริม โดยนำมาขยี้ โขลกหรือปั่นรวมกับย่านาง พืชฤทธิ์เย็นที่นำมาเสริมฤทธิ์ย่านางที่มีประสิทธิภาพดีได้แก่ ใบอ่อมแซ่บ 1 กำมือ ใบเตย 1-3 ใบ ผักบุ้ง 5-10 ต้น บัวบก 1 กำมือ เสลดพังพอนตัวเมีย 5-10 ยอด (1 ยอด ยาว 1 คืบ) ใบตำลึงแก่ 1 กำมือ หญ้าปักกิ่ง 1-3 ต้น ว่านกาบหอย 3-5 ใบ เป็นต้น โดยนำมาเสริมเท่าที่จะหาได้ พืชชนิดใดที่หาไม่ได้ก็ไม่ต้องใช้ และถ้าพืชชนิดใดไม่ถูกกับผู้ที่จะดื่มก็ไม่ต้องมาผสม อาการของพืชที่ไม่ถูกกับร่างกาย คือ เมื่อรับประทานหรือสัมผัสพืชนั้นจะระคายคอ หรือมีอาการไม่สบายบางอย่าง พอผสมกันหลายอย่าง ก็รับประทานได้โดยไม่มีอาการผิดปกติ แต่บางคนแม้ผสมกันหลายอย่าง ก็ยังแสดงอาการผิดปกติอยู่ ก็ให้งดใช้พืชชนิดนั้นเสีย
     7. บางคนไม่ชินกับการรับประทานสด ก็สามารถผ่านไฟอุ่นหรือเดือดได้ไม่เกิน 5 นาที โดยตรวจสอบร่างกายของตนเองว่า ระหว่างรับประทานสดกับผ่านไฟ อย่างไหนรู้สึกสดชื่น สบายหรืออาการทุเลาได้มากกว่าก็ใช้วิธีนั้น
     8. คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ให้ดื่มน้ำย่านางหรือสมุนไพรรวมฤทธิ์เย็นกับกล้วยดิบและขมิ้น โดยใช้กล้วยดิบทั้งเปลือก 1 ลูก แบ่งเป็น 3 ส่วน เท่าๆ กัน นำกล้วยดิบและขมิ้นอย่างละ 1 ชิ้น (ต่อครั้ง) โขลกให้ละเอียด หรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืน พร้อมดื่มน้ำย่านาง หรือสมุนไพรรวมฤทธิ์เย็น วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือหลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง แต่ถ้ามีอาการออกร้อนท้องร่วมด้วยให้งดขมิ้น สำหรับกล้วยดิบ หรือขมิ้นอาจใช้เป็นลูกกลอกหรือแคปซูลก็ได้ ใช้กล้วยดิบครั้งละ 3-5 เม็ด 3 เวลา ก่อนอาหาร ส่วนขมิ้นใช้ครั้งละ 1-3 เม็ด 3 เวลา ก่อนอาหาร
     9. สำหรับคนที่มีอาการท้องเสีย ให้ใช้ย่านางปริมาณที่เหมาะสมกับบุคคลดังที่นำเสนอข้างต้น ขยี้กับใบฝรั่งแก่ 3-5 ใบ หรือใบทับทิมครครึ่ง – 1 กำมือ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว ดื่มก่อนอาหาร ครั้งละครึ่ง – 1 แก้ว หรือดื่มบ่อยจนกว่าจะหายท้องเสีย ย่านางสามารถฆ่าเชื้อโรคที่เป็นเหตุให้เกิดอาการท้องเสีย อีกสูตรหนึ่งที่ได้ผลดีมากคือ ดื่มน้ำย่านาง หรือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น ควบคู่กับสมุนไพรต้ม คือเอาเปลือกสะเดา (ส่วนที่มีรสฝาดขมกึ่งกลางระหว่างเปลือกแข็งนอกสุดและแก่น) ยาว 1 คืบของผู้ป่วย กว้าง 1-2 เซนติเมตร เปลือกมังคุดสดหรือตากแห้ง 1-3 ลูก ใบฝรั่งแก่ 3-5 ใบ ทั้งสามอย่าง รวมกัน ต้มใส่น้ำ 3-5 แก้ว เดือด 5-10 นาที แล้วผสมน้ำตาล 3-5 ช้อนโต๊ะ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือจิบเรื่อยๆ จนกว่าอาการท้องเสียจะหาย
     10. การใช้น้ำย่านางกับภายนอกร่างกาย
          10.1 ใช้น้ำย่านางหรือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นเจือจางกับน้ำเปล่าใช้เช็ดตัวลดไข้ได้ อย่างดี หรือใช้ผ้าชุบวางบริเวณที่ปวดออกร้อน ช่วยลดความร้อนของร่างกายและผิวหนัง
          10.2 ผสมน้ำยาสระผม ใช้สระผมได้อย่างดี ช่วยให้ศรีษะเย็น ผมดกดำหรือชะลอผมหงอก
          10.3 ใช้ย่านางหรือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น ผสมดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากให้เหลวพอประมาณ ทาสิว ฝ้า ตุ่ม ผื่น คัน พอกฝีหนัง จะช่วยถอนพิษและแก้อักเสบได้
     11. การประเมินว่า ปริมาณหรือความเข้มข้นพอเหมาะที่จะดื่มหรือไม่
          11.1 ขณะที่ดื่มเข้าไป จะกลืนง่ายไม่ฝืดฝืน ไม่ระคายคอ
          11.2 อาการไม่สบายทุเลาลง ปากคอชุ่ม ร่างกายสดชื่น
          11.3 ถ้าดื่มน้อยไป อาการก็ไม่ทุเลา ถ้าดื่มมากไปก็จะเกิดอาการไม่สบายบางอย่าง หรือในขณะดื่มจะรู้สึกได้ว่าร่างกายจะมีสภาพต้านบางอย่างเกิดขึ้น
     12. สำหรับท่านที่ไม่ค่อยได้รับประทานผักสด ร่างกายก็จะขาดวิตามินและคลอโรฟิล ในใบย่านางมีวิตามิน คลอโรฟิลคุณภาพดี มีพลังสด พลังชีวิตประสิทธิภาพสูง ในการปกป้อง คุ้มครองและฟื้นฟูเซลล์ของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม


     ที่มา      http://www.numsai.com

โรคเครียดลงผิว โรคที่เกิดจากความเหนื่อยล้าและเครียด (Stress) ที่มากกว่าปกติ

โรคเครียดลงผิวเป็นยังไงหลายๆคนคงงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า ผิวเครียด งั้นลองคิดถึงโรคเริมก่อน เริมมักจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายพักผ่อนน้อย นอนดึก ทำให้มีความเหนื่อยล้าหรือเครียดที่มากกว่าปกติจึงเกิดเป็นตุ่มน้ำใสๆขึ้น ตามร่างกายส่วนมากจะเกิดขึ้นรอบๆริมฝีปากและรอบอวัยวะเพศให้ปวดแสบปวดร้อน เล่นๆ เริมก็เป็นโรคในลักษณะเดียวกับโรคเครียดลงผิวนั่นเอง บางคนเมื่อเกิดอาการผิวเครียดแล้วอาจคิดว่าตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้จึงพยายามหา สาเหตุของการแพ้นั้นๆ (ธาตุแพ้) ซึ่งจะหาอย่างไรก็ไม่เจอเพราะว่าอาการของโรคเครียดลงผิวนั้นจะถูกกระตุ้นโดย ความเหนื่อยล้าและความเครียดที่เกิดขึ้นกับตัวเรานั่นเอง

สาเหตุของโรคเครียดลงผิว เกิดจากอารมณ์ล้วนๆเลย ถ้าวันไหนร่างกายเหนื่อยและเครียดมากๆอารมณ์หงุดหงิดก็จะเกิดอาการผิวเครียด ขึ้นมานั่นคือเกิดผื่นขึ้นตามลำตัว หน้าตา หลังหู ไรผม หัวคิ้ว ฯลฯ แต่หากวันไหนได้เข้านอนเร็วได้หยุดพักผ่อนและออกกำลังกายสักเล็กน้อยวันนั้น จะไม่มีอาการผื่นแดงเกิดขึ้น

อาการของโรคผิวเครียดจะ เป็นผื่นขึ้นคล้ายๆลมพิษหลังเลิกงาน ช่วงมีระดู ฯลฯ ผื่นที่เกิดขึ้นมักเกิดช่วงที่เครียดจัดๆ ร่างกายพักผ่อนน้อย อาจเกิดผื่นแดงหรือเป็นขุยที่หน้า หลังหู ไรผม หัวคิ้ว ข้างจมูก ฯลฯ แล้วผื่นที่เกิดขึ้นจะหายไปเองแต่หากร่างกายเหนื่อยหรือเครียดอีกอาการก็จะ กลับมาเป็นใหม่คือเป็นๆหายๆไม่หายขาดสักที

การรักษาอาการผิวเครียด สิ่ง สำคัญที่สุดคืออย่าทำงานอย่างหักโหมและพยายามกำจัดความเครียดให้หมดไป รู้จักการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่าให้ร่างกายเหนื่อยเกินไป ให้หาเวลาออกกำลังกายบ้างสักวันละครึ่งชั่วโมงเพื่อขับไล่ความเครียด ดื่มน้ำสะอาดให้ร่างกายสดชื่น บำรุงร่างกายด้วยการกินวิตามินซี น้ำมันปลาบ้าง

โรคเครียดลงผิวเป็น อาการที่บ่งบอกว่าร่างกายของผู้ป่วยนั้นเหนื่อยและเครียดจนเกินระดับปกติ แล้วทำให้มีอาการแสดงออกมาทางผิวหนังเป็นผื่นแดงและคัน หากผู้ป่วยเผลอไปเกาจนผิวหนังเป็นแผลกลายเป็นแผลเปิดก็เท่ากับเป็นการเปิด ประตูรับเชื้อโรคต่างๆให้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นทำให้เกิดอันตรายจากการ ติดเชื้อตามมา ดังนั้นถ้าอยากหายจากโรคเครียดลงผิวข้อสำคัญคือต้องไม่เครียดแต่หากคุณยัง เครียดบ่อยๆจนเครียดเป็นอาชีพไปเลยรับรองว่าโรคภัยไข้เจ็บต่างๆจะรุมเร้า เข้าสู่ตัวคุณอย่างแน่นอนโดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นโรคเครียดลงผิวเพียงอย่าง เดียวเท่านั้น

ผลไม้ 7 อย่างที่ทำให้ผิวสวย

1. แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลเป็นหนึ่งในผลไม้จำนวนมากที่จะให้ผิวสวย และยังสามารถช่วยซ่อมแซมผิวและและลดการเกิดสิวได้ด้วย เพียงใช้แค่ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำแล้วนำไปอาบน้ำทำความสะอาดกับผิวของคุณ



2. อะโวคาโด
อะโวคาโดเป็นผลไม้หนึ่งในนั้นที่จะทำให้คุณผิวสวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผิวคุณประสบปัญหาความแห้งกร้าน อะโวคาโดอุดมไปด้วยมอยซ์เจอไรเซอร์ คุณสามารถนำอะโวคาโดทาผิวของคุณทิ้งไว้ 1 นาทีแล้วล้างออก



3. กล้วย
กล้วยเป็นผลไม้ที่ดีมีประโยชน์หลายอย่าง นอกจากช่วยให้ผิวสวยแล้ว กล้วยยังช่วยกระชับผิวและให้ความชุ่มชื้น เพียงบดกล้วยบนเยื่อกระดาษและใช้เป็นหน้ากากมาร์กใบหน้า จะพบว่าผิวของคุณสวยและกระชับขึ้นครับ




4. มะละกอ
มะละกอเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์เหมาะสำหรับคนผิวมัน เพราะจะช่วยลดความมันบนผิวคุณ ทำให้ผิวสวยสุขภาพดีและยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย ตัวช่วยผิวสวยอย่างมะละกอช่วยในลดรอย สิว ฝ้า เพียงแค่คุณนำมะละกอฝานวางตามใบหน้าหรือใต้ดวงตาทิ้งไว้สักครู่

5. พีช
พีชเป็นผลไม้ที่จะให้ผิวสวยชมพู ใส และยังช่วยในการทำความสะอาดและปรับสภาพผิว กระชับกล้ามเนื้อหน้าของคุณ เพียงปอกเปลือกลูกพีชและใช้ส่วนด้านในของเปลือกไปนวดหน้าของคุณเบา ๆ คุณจะรู้สึกว่าผิวของคุณกระชับขึ้น



6. มะนาว
มะนาวตัวช่วยผิวสวยใส ที่เป็นที่รู้จักกันดีในการใช้ทำความสะอาดผิว ตลอดจนการฟื้นฟูผิว และลบจุดด่างดำ ฝ้าที่ไม่น่าดู




7. สับปะรด
สับปะรดมีประโยชน์อย่างมากต่อผิวของคุณ ไม่เพียงแต่การทำความสะอาดและช่วยทำให้ผิวของคุณนุ่ม ผิวสวยหายหมองคล้ำและไม่แห้งแตก นำสับปะรดมาหั่นเป็นชิ้นและถูทั่วผิวกายของคุณก่อนอาบน้ำ สัปปะรดจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นทันที






โรคแพ้อากาศ


     โรคแพ้อากาศ...เป็นโรคที่พบบ่อยทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการ จาม คัดจมูก
มีน้ำมูกใส ๆ ไหลเป็น ๆ หาย ๆ อาการเหล่านี้มักมีความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้น เช่น
ละอองเกสรของพืช ไรฝุ่นและสัตว์เลี้ยง ผู้ป่วยบางรายอาจมาด้วยอาการของไซนัสอักเสบเรื้อรัง
อาการเหล่านี้ถึงแม้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็เป็นที่รำคาญต่อการดำรงชีวิตของผู้ป่วยและบุคคลใกล้เคียง
ทำไมจึงเป็นโรคภูมิแพ้
ผู้ป่วยที่เป็นโรคแพ้อากาศมักมีพื้นฐานทางกรรมพันธ์ เช่น การมีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคภูมิแพ้
รวมทั้งมีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเสิรม เช่น การที่มีไรฝุ่นเป็นจำนวนมากในบ้าน นอกจากนี้
ปัจจัยส่งเสริมอื่น ๆ เช่น มลพิษในอากาศหรือควันบุหรี่ ก็จะทำให้อาการแพ้อากาศเป็นมากขึ้นได้
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคแพ้อากาศ
นอกจากประวัติและการตรวจร่างกายแล้ว การตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการที่จะช่วยในการวินิจฉัยโรคแพ้อากาศ ได้แก่
1. การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง จะช่วยในการบอกถึงสารที่ก่อภูมิแพ้ สารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญในประเทศไทย ได้แก่
ตัวไรฝุ่น แมลงสาบ สัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น แมวและสุนัข ละอองเกสรหญ้า และต้นไม้ เชื้อราในบ้าน เป็นต้น การที่
ทราบถึงสารก่อภูมิแพ้ จะมีประโยชน์อย่างมากในการแนะนำผู้ป่วยให้หลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้เหล่านั้น
2. การตรวจเซลล์ภูมิแพ้ในจมูก สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ และช่วยแยกโรคภูมิแพ้จากโรคติดเชื้อในจมูก
3. การทดสอบอื่น ๆ เช่น การส่องดูจมูกด้วยเครื่องมือพิเศษ (Rhino-scopy) การ X-Ray ดูในโพรงอากาศไซนัส
เพื่อวินิจฉัยภาวะไซนัสอักเสบ ซึ่งอาจพบร่วมกับภาวะภูมิแพ้ทางจมูก เป็นต้น
จะปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อเป็นโรคแพ้อากาศ
1. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นและปัจจัยส่งเสริม เช่น คลุมที่นอนและหมอน ถ้าแพ้ตัวไรฝุ่น ขจัดแมลงสาบและสัตว์เลี้ยงในบ้าน
ถ้าแพ้สารเหล่านี้ การใช้เครื่องปรับอากาศจะช่วยกรองเอาสารก่อภูมิแพ้บางอย่างออกไปจากบ้าน เป็นต้น
2. ล้างจมูกอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำเกลือ จะช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในจมูก และอาจมีผลลดการติดเชื้อในโพรงไซนัส
เนื่องจากทำให้น้ำมูกไหลออกมาได้ดีขึ้น และไม่มีการอุดตันของน้ำมูกที่มาจากโพรงไซนัส วิธีการล้างจมูกอย่างง่าย ๆ คือ
     1. ผสมน้ำต้มสุก 500 ซีซี ( ครึ่งลิตร ) กับเกลือ 1 ช้อนชา
     2. เทน้ำเกลือลงในแก้ว และดูดด้วยลูกยางแดง หรือ Syringe
     3. ให้ผู้ป่วยก้มหน้า กลั้นหายใจ พร้อมกับบีบน้ำเข้าไปในรู้จมูกช้า ๆ น้ำเกลือควรจะไหลกลับลงมาข้างล่าง
        หรือ ไหลไปที่จมูกอีกข้างหนึ่ง ไม่ควรให้คนไข้แหงนหน้า เพราะจะทำให้สำลักน้ำเกลือ
     4. ให้ผู้ป่วยสั่งน้ำมูก และเช็ดน้ำมูกที่เหลือทั้งหมด
3. การใช้ยา Antihistamine ซึ่งจะช่วยลดอาการคันจมูก น้ำมูกไหลและอาการจามได้ ในปัจจุบันมียา Antihistamine
ใหม่ ๆ ที่มีผลทำให้ง่วงนอนน้อยกว่ายาเดิมได้
4. การใช้ยาพ่น Steroid จะช่วยลดอาการคันจมูก คัดจมูก น้ำมูกไหลและอาการจามได้ การใช้ยาพ่น Steroid ในขนาด
ที่เหมาะสมจะมี ผลข้างเคียงน้อยกว่าการรับประทานยา Steroid
5. การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ เป็นการฉีดสารก่อภูมแพ้ขนาดน้อย ๆ ติดต่อกันเป็นเวลา 2-3 ปี วิธีนี้จะทำให้ร่างกายทนต่อสารก่อภูมิแพ้
และทำให้ลดปริมาณการใช้ยาลง

   ที่มา    จาก Gymboree Newsletter ฉบับที่ 10 ปี 2003

อาหาร กับ การป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด

ปัจจุบัน นิยมบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง สัดส่วนอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลายๆชนิด โรคหนึ่งที่สำคัญคือ โรคหัวใจขาดเลือดเนื่องจากเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตัน มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า Coronary Heart Disease ( Coronary artery คือเส้นเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงหัวใจ )

ทางเลือกในการป้องกันตนเองจากภาวะไขมันในเลือดสูง คือ

  • ควบคุมการกินอาหารให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม ลดไขมันให้น้อยลง เพื่อควบคุมระดับคลอเรสเทอรอบในเลือดให้น้อยกว่า 200 mg/dl และไตรกลีเซอไรด์ให้น้อยกว่า 150 mg/dl
  • การออกกำลังกาย ซึ่งเป็นการเพิ่ม HDL

หลักสำคัญในการควบคุมอาหาร

  1. ลดปริมาณการกินไขมันให้น้อยลงในแต่ละวันไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงานอาหารทั้งหมด หรือไม่เกินวันละ 3-4 ช้อนโต๊ะของน้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหาร รวมทั้งกะทิ และเนย
  2. ลดปริมาณการกินกรดไขมันอิ่มตัวให้น้อยลงจากอาหาร ได้แก่ เนื้อสัตว์ติดมัน ไข่แดง น้ำมันหมู เนย นม และผลิตภัณฑ์จากนม รวมทั้งน้ำมันพืชจำพวกน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว
  3. เพิ่มการทานกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง รำข้าว ข้าวโพด มะกอก ซึ่งมีกรดไลโนเลอิคที่จำเป็นต่อร่างกาย
  4. ทานอาหารที่มีคอเลสเทอรอลให้น้อยลงไม่เกินวันละ 300 mg อาหารที่มีคลอเลสเทอรอลมากได้แก่ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ไข่ปลา กุ้ง หอย ปู ปลาหมึก
  5. เพิ่มการทานเส้นใยอาหารจากพืชผัก ผลไม้ ธัญพืช เปลี่ยนจากข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง เนื่องจากเส้นใยอาหารมีความสามารถจับคลอเลสเทอรอบและน้ำดีในลำไส้เล็กไว้ ทำให้ถูกดูดซึมเข้าร่างกายน้อยลง ถูกขับออกทางอุจจาระมากกว่าผู้ที่ไม่ทานเส้นใยอาหาร
  6. ลดปริมาณอาหารให้น้อยลง เพื่อลดพลังงานสำหรับผู้ที่อ้วนหรือน้ำหนักเกิน ออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดไขมันส่วนเกิน ไตรกลีเซอไรด์และคลอเรสเทอรอล และช่วยเพิ่ม HDL (High Density Lipoprotein) ซึ่งทำหน้าทีพอคลอเลสเทอรอบขับออกจากร่างกาย
  7. งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท งดสูบบุหรี่

วิธีทําให้ผิวขาว แบบธรรมชาติต้องกินอาหารที่ดี และออกกำลังกายด้วย

 
วิธีทำให้ผิวขาวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี เริ่มตั้งแต่ การเลือกครีมบำรุงผิวและครีมกันแดด เพราะว่าเมืองไทยเรานั้นเป็นเมืองร้อน ทำให้แดดแรง และแสงแดดเนี้ยล่ะ ที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้ผิวของเราหมองคล้ำ ดำ และเป็นกระ ซึ่งเราจะต้องเลือกครีมในการปกป้องแสงแดด ปกป้องรังสี UV เมื่อเรามีการใช้ครีมบำรุงผิวของเราแล้ว เราก็ควรจะมีการขัดผิวบ้าง เพื่อเป็นการขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากผิวหนังของเรา ซึ่งการขัดผิวก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ผิวขาว เปล่งปลั่ง ดูสุขภาพดี
แต่วิธีทําให้ผิวขาวคงจะทำแค่การใช้ครีมบำรุงกับการขัดผิวคงไม่พอหรอก เพราะการที่เราจะมีสุขภาพผิวที่ดีนั้นต้องเริ่มต้นจากภายในด้วย เช่น การเลือกรับประทานอาหาร เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและบำรุงผิวพรรณของเรา ให้สดใส เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล และทำให้ผิวนั้นดูกระจ่างใสไม่หมองคล้ำ ซึ่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและบำรุงผิวพรรณได้แก่ พวกผัก ผลไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แอปเปิ้ล กล้วย ส้ม เป็นต้น และควรดื่มน้ำมากๆ ซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณจากภายในสู่ภายนอก
และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยที่จะทำให้ผิวเราดูมีสุขภาพดีนั้น ก็คือ การออกกำลังกาย ซึ่งการออกกำลังกายนั้นทำให้เลือดไหลเวียนดี ทำให้เราดูมีสุขภาพดี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวิธีทำให้ผิวขาวจากภายในสู่ภายนอก

วิธีทําให้ผิวขาว แบบธรรมชาติต้องพักผ่อนเพียงพอด้วย

คุณผู้หญิงคนไหนที่ต้องการทำให้ผิวขาว ก็อย่าลืมนำเคล็ดลับต่างๆไปใช้กัน รับลองเลยว่าคุณจะมีผิวขาวสุขภาพดีอย่างที่ต้องการอย่างแน่นอน  อ่อลืมไปอีกอย่าง การมีสุขภาพดีนั้นอย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการพักผ่อนที่เพียงพอนั้นจะทำให้ร่างกายของเราเหมือนกับว่าได้เติมพลัง ให้กับชีวิตของเรา พร้อมที่จะต่อสู้กับสิ่งต่างๆที่จะต้องเผชิญ
หากเราพักผ่อนไม่เพียงพอมันจะมีผลกระทบต่อร่างกายของเรามากมาย รวมทั้งสุขภาพผิวของเราด้วย ถ้าเราพักผ่อนน้อยจะทำให้ผิวของเรานั้นเหี่ยวย่น หมองคล้ำ และดูไม่สดใส และดูแก่กว่าวัย ซึ่งเป็นเรื่องที่คุณผู้หญิงทั้งหลายยอมไม่ได้อยู่แล้วจริงมั้ย ดังนั้นเราควรพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แล้วคุณจะเป็นผู้หญิงที่สดใส ผิวพรรณเปล่งปลั่ง น่าทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง

สรุป วิธีทําให้ผิวขาว

1. อย่าออกไปตากแดดแรงๆ
2. หากต้องตากแดด ต้องใช้ครีมช่วยป้องกันรังสี UV
3. เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์
4. ออกกำลังกายเพียงพอ
5. พักผ่อนเพียงพอ

     ที่มา    http://www.thaibigbang.com