blogger นี้ทำเพื่อการนำเสนองานวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม



by www.zalim-code.com

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

โรคแพ้อากาศ


     โรคแพ้อากาศ...เป็นโรคที่พบบ่อยทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการ จาม คัดจมูก
มีน้ำมูกใส ๆ ไหลเป็น ๆ หาย ๆ อาการเหล่านี้มักมีความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้น เช่น
ละอองเกสรของพืช ไรฝุ่นและสัตว์เลี้ยง ผู้ป่วยบางรายอาจมาด้วยอาการของไซนัสอักเสบเรื้อรัง
อาการเหล่านี้ถึงแม้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็เป็นที่รำคาญต่อการดำรงชีวิตของผู้ป่วยและบุคคลใกล้เคียง
ทำไมจึงเป็นโรคภูมิแพ้
ผู้ป่วยที่เป็นโรคแพ้อากาศมักมีพื้นฐานทางกรรมพันธ์ เช่น การมีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคภูมิแพ้
รวมทั้งมีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเสิรม เช่น การที่มีไรฝุ่นเป็นจำนวนมากในบ้าน นอกจากนี้
ปัจจัยส่งเสริมอื่น ๆ เช่น มลพิษในอากาศหรือควันบุหรี่ ก็จะทำให้อาการแพ้อากาศเป็นมากขึ้นได้
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคแพ้อากาศ
นอกจากประวัติและการตรวจร่างกายแล้ว การตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการที่จะช่วยในการวินิจฉัยโรคแพ้อากาศ ได้แก่
1. การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง จะช่วยในการบอกถึงสารที่ก่อภูมิแพ้ สารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญในประเทศไทย ได้แก่
ตัวไรฝุ่น แมลงสาบ สัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น แมวและสุนัข ละอองเกสรหญ้า และต้นไม้ เชื้อราในบ้าน เป็นต้น การที่
ทราบถึงสารก่อภูมิแพ้ จะมีประโยชน์อย่างมากในการแนะนำผู้ป่วยให้หลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้เหล่านั้น
2. การตรวจเซลล์ภูมิแพ้ในจมูก สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ และช่วยแยกโรคภูมิแพ้จากโรคติดเชื้อในจมูก
3. การทดสอบอื่น ๆ เช่น การส่องดูจมูกด้วยเครื่องมือพิเศษ (Rhino-scopy) การ X-Ray ดูในโพรงอากาศไซนัส
เพื่อวินิจฉัยภาวะไซนัสอักเสบ ซึ่งอาจพบร่วมกับภาวะภูมิแพ้ทางจมูก เป็นต้น
จะปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อเป็นโรคแพ้อากาศ
1. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นและปัจจัยส่งเสริม เช่น คลุมที่นอนและหมอน ถ้าแพ้ตัวไรฝุ่น ขจัดแมลงสาบและสัตว์เลี้ยงในบ้าน
ถ้าแพ้สารเหล่านี้ การใช้เครื่องปรับอากาศจะช่วยกรองเอาสารก่อภูมิแพ้บางอย่างออกไปจากบ้าน เป็นต้น
2. ล้างจมูกอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำเกลือ จะช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในจมูก และอาจมีผลลดการติดเชื้อในโพรงไซนัส
เนื่องจากทำให้น้ำมูกไหลออกมาได้ดีขึ้น และไม่มีการอุดตันของน้ำมูกที่มาจากโพรงไซนัส วิธีการล้างจมูกอย่างง่าย ๆ คือ
     1. ผสมน้ำต้มสุก 500 ซีซี ( ครึ่งลิตร ) กับเกลือ 1 ช้อนชา
     2. เทน้ำเกลือลงในแก้ว และดูดด้วยลูกยางแดง หรือ Syringe
     3. ให้ผู้ป่วยก้มหน้า กลั้นหายใจ พร้อมกับบีบน้ำเข้าไปในรู้จมูกช้า ๆ น้ำเกลือควรจะไหลกลับลงมาข้างล่าง
        หรือ ไหลไปที่จมูกอีกข้างหนึ่ง ไม่ควรให้คนไข้แหงนหน้า เพราะจะทำให้สำลักน้ำเกลือ
     4. ให้ผู้ป่วยสั่งน้ำมูก และเช็ดน้ำมูกที่เหลือทั้งหมด
3. การใช้ยา Antihistamine ซึ่งจะช่วยลดอาการคันจมูก น้ำมูกไหลและอาการจามได้ ในปัจจุบันมียา Antihistamine
ใหม่ ๆ ที่มีผลทำให้ง่วงนอนน้อยกว่ายาเดิมได้
4. การใช้ยาพ่น Steroid จะช่วยลดอาการคันจมูก คัดจมูก น้ำมูกไหลและอาการจามได้ การใช้ยาพ่น Steroid ในขนาด
ที่เหมาะสมจะมี ผลข้างเคียงน้อยกว่าการรับประทานยา Steroid
5. การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ เป็นการฉีดสารก่อภูมแพ้ขนาดน้อย ๆ ติดต่อกันเป็นเวลา 2-3 ปี วิธีนี้จะทำให้ร่างกายทนต่อสารก่อภูมิแพ้
และทำให้ลดปริมาณการใช้ยาลง

   ที่มา    จาก Gymboree Newsletter ฉบับที่ 10 ปี 2003

อาหาร กับ การป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด

ปัจจุบัน นิยมบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง สัดส่วนอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลายๆชนิด โรคหนึ่งที่สำคัญคือ โรคหัวใจขาดเลือดเนื่องจากเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตัน มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า Coronary Heart Disease ( Coronary artery คือเส้นเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงหัวใจ )

ทางเลือกในการป้องกันตนเองจากภาวะไขมันในเลือดสูง คือ

  • ควบคุมการกินอาหารให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม ลดไขมันให้น้อยลง เพื่อควบคุมระดับคลอเรสเทอรอบในเลือดให้น้อยกว่า 200 mg/dl และไตรกลีเซอไรด์ให้น้อยกว่า 150 mg/dl
  • การออกกำลังกาย ซึ่งเป็นการเพิ่ม HDL

หลักสำคัญในการควบคุมอาหาร

  1. ลดปริมาณการกินไขมันให้น้อยลงในแต่ละวันไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงานอาหารทั้งหมด หรือไม่เกินวันละ 3-4 ช้อนโต๊ะของน้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหาร รวมทั้งกะทิ และเนย
  2. ลดปริมาณการกินกรดไขมันอิ่มตัวให้น้อยลงจากอาหาร ได้แก่ เนื้อสัตว์ติดมัน ไข่แดง น้ำมันหมู เนย นม และผลิตภัณฑ์จากนม รวมทั้งน้ำมันพืชจำพวกน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว
  3. เพิ่มการทานกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง รำข้าว ข้าวโพด มะกอก ซึ่งมีกรดไลโนเลอิคที่จำเป็นต่อร่างกาย
  4. ทานอาหารที่มีคอเลสเทอรอลให้น้อยลงไม่เกินวันละ 300 mg อาหารที่มีคลอเลสเทอรอลมากได้แก่ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ไข่ปลา กุ้ง หอย ปู ปลาหมึก
  5. เพิ่มการทานเส้นใยอาหารจากพืชผัก ผลไม้ ธัญพืช เปลี่ยนจากข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง เนื่องจากเส้นใยอาหารมีความสามารถจับคลอเลสเทอรอบและน้ำดีในลำไส้เล็กไว้ ทำให้ถูกดูดซึมเข้าร่างกายน้อยลง ถูกขับออกทางอุจจาระมากกว่าผู้ที่ไม่ทานเส้นใยอาหาร
  6. ลดปริมาณอาหารให้น้อยลง เพื่อลดพลังงานสำหรับผู้ที่อ้วนหรือน้ำหนักเกิน ออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดไขมันส่วนเกิน ไตรกลีเซอไรด์และคลอเรสเทอรอล และช่วยเพิ่ม HDL (High Density Lipoprotein) ซึ่งทำหน้าทีพอคลอเลสเทอรอบขับออกจากร่างกาย
  7. งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท งดสูบบุหรี่

วิธีทําให้ผิวขาว แบบธรรมชาติต้องกินอาหารที่ดี และออกกำลังกายด้วย

 
วิธีทำให้ผิวขาวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี เริ่มตั้งแต่ การเลือกครีมบำรุงผิวและครีมกันแดด เพราะว่าเมืองไทยเรานั้นเป็นเมืองร้อน ทำให้แดดแรง และแสงแดดเนี้ยล่ะ ที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้ผิวของเราหมองคล้ำ ดำ และเป็นกระ ซึ่งเราจะต้องเลือกครีมในการปกป้องแสงแดด ปกป้องรังสี UV เมื่อเรามีการใช้ครีมบำรุงผิวของเราแล้ว เราก็ควรจะมีการขัดผิวบ้าง เพื่อเป็นการขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากผิวหนังของเรา ซึ่งการขัดผิวก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ผิวขาว เปล่งปลั่ง ดูสุขภาพดี
แต่วิธีทําให้ผิวขาวคงจะทำแค่การใช้ครีมบำรุงกับการขัดผิวคงไม่พอหรอก เพราะการที่เราจะมีสุขภาพผิวที่ดีนั้นต้องเริ่มต้นจากภายในด้วย เช่น การเลือกรับประทานอาหาร เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและบำรุงผิวพรรณของเรา ให้สดใส เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล และทำให้ผิวนั้นดูกระจ่างใสไม่หมองคล้ำ ซึ่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและบำรุงผิวพรรณได้แก่ พวกผัก ผลไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แอปเปิ้ล กล้วย ส้ม เป็นต้น และควรดื่มน้ำมากๆ ซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณจากภายในสู่ภายนอก
และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยที่จะทำให้ผิวเราดูมีสุขภาพดีนั้น ก็คือ การออกกำลังกาย ซึ่งการออกกำลังกายนั้นทำให้เลือดไหลเวียนดี ทำให้เราดูมีสุขภาพดี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวิธีทำให้ผิวขาวจากภายในสู่ภายนอก

วิธีทําให้ผิวขาว แบบธรรมชาติต้องพักผ่อนเพียงพอด้วย

คุณผู้หญิงคนไหนที่ต้องการทำให้ผิวขาว ก็อย่าลืมนำเคล็ดลับต่างๆไปใช้กัน รับลองเลยว่าคุณจะมีผิวขาวสุขภาพดีอย่างที่ต้องการอย่างแน่นอน  อ่อลืมไปอีกอย่าง การมีสุขภาพดีนั้นอย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการพักผ่อนที่เพียงพอนั้นจะทำให้ร่างกายของเราเหมือนกับว่าได้เติมพลัง ให้กับชีวิตของเรา พร้อมที่จะต่อสู้กับสิ่งต่างๆที่จะต้องเผชิญ
หากเราพักผ่อนไม่เพียงพอมันจะมีผลกระทบต่อร่างกายของเรามากมาย รวมทั้งสุขภาพผิวของเราด้วย ถ้าเราพักผ่อนน้อยจะทำให้ผิวของเรานั้นเหี่ยวย่น หมองคล้ำ และดูไม่สดใส และดูแก่กว่าวัย ซึ่งเป็นเรื่องที่คุณผู้หญิงทั้งหลายยอมไม่ได้อยู่แล้วจริงมั้ย ดังนั้นเราควรพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แล้วคุณจะเป็นผู้หญิงที่สดใส ผิวพรรณเปล่งปลั่ง น่าทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง

สรุป วิธีทําให้ผิวขาว

1. อย่าออกไปตากแดดแรงๆ
2. หากต้องตากแดด ต้องใช้ครีมช่วยป้องกันรังสี UV
3. เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์
4. ออกกำลังกายเพียงพอ
5. พักผ่อนเพียงพอ

     ที่มา    http://www.thaibigbang.com